วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2561

ครั้งที่ 11
วันที่ 28 มีนาคม 2561




บรรยากาศในห้องเรียน

เริ่มด้วยคำคมผู้บริหาร


คนฉลาดไม่ใช่แค่วาจา สติปัญาเท่านั้น แต่ ต้องมีสติ นิ่งอย่างมีสติ ในสถานการณ์ที่ควรหรือไม่ควร

การบริจัดการ ตัวเองต้องใช้ สมองแต่ สำหรับการบริหารจัดการคนต้องใช้หัวใจ


ยาที่ดีมักมีรสขม คำแนะนำที่ดีมักจะไม่น่าฟังแต่เป็นการแนะนำด้วยความจริง หากเราอยู่ในตำแหน่งที่สูงแต่เรายอมรับฟังความคิดเห็นหรือคำวิจารรณ์ผู้อื่น ทำให้เราเป็นคนที่น่ายกย่อง มีใจกว้้าง ไม่ยึดว่าเราสูงกว่าและจะใหญ่หรือ ถูกเสมอไป



ต่อไปเป็นการนำเสนอการสัมภาทผู้บริหารในสถานศึกษา



โรงเรียนพร้อมมิตรพิทยา



โรงเรียนพร้อมมิตรพิทยา เป็นโรงเรียน ไทย จีน



ผู้บริหาร
นางสุนทรี นิระหานี





สมาชิก 10 คน


การประยุกต์ใช้
ได้เรียนรู้ถึงประสบการณืตรงในการสัมภาทณ์ถึงการบริหาร หลักกการเเนวทาง รวมไปถึงความแตกต่างระหว่าง สถานศึกษาที่มีการบริหารที่แตกต่างกัน


การประเมินผล
ประเมินเพื่อน
เพื่นๆมีความพร้อมในการนำเสนองานและมีความรับผิดชอบในการนำงาน
ประเมินตนเอง
มีความพร้อมในการนำเสนอและตั้งใจนำเสนอออกมาอย่างเต็มที่
ประเมินอาจารย์
อาจารย์มีการอธิบายและถามคำถามเพิมเติมเกี่ยวกับการไป เช่น มีปัญหาอะไรมั้ย หรือ มีการติดต่อกับทางโรงเรียนอย่างไร














ครั้งที่ 10
วันที่ 21 มีนาคา 2561



บรรยากาศในห้องเรียน
เริ่มจาการนำเสนอคำคม


การที่เราพบเจอปัญหามากเท่าไร แสดงว่าเราเริ่มโตขึ้นและเรียนรู้การใช้ชีวิต


การที่เราอยากให้คนอื่นมาเคราพเรา เราต้องรู้ต้องเคราพคนอื่นก่อน


คำพูดคืออาวุจอย่างหนึ่งที่สามารถเป็นทั้งดี และไม่ดรได้ ต้องรู้จักการใช้

พอเพื่อนนำเสนอคำคมเสร็จครูก็ทำการเรียนการสอน



เรื่อง  เทคนิคการเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดี สำหรับการเป็นผู้บริหาร


ความหมายของบุคลิกภาพ
ลักษณะทั้งภายนอกและภายในที่รวมอยู่ในตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่งและเป็นผลทำให้บุคคลนั้น มีความแตกต่างไปจากบุคคลอื่นๆ บุคลิกภาพแบ่งออกเป็น 2 สภาพ ด้วยกันคือ 
บุคลิกภาพภายนอก สามารถสังเกตเห็นหรือสัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้โดยการฝึกเลียนแบบ และสามารถวัดผลได้ทันที บุคลิกภาพภายนอกที่สำคัญที่สุด คือ บุคลิกภาพทางกายและวาจา 
บุคลิกภาพภายใน หมายถึง บุคลิกภาพที่ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน เป็นส่วนที่สัมผัสได้ค่อนข้างยากและต้องใช้เวลาในการสัมผัส

ประเภทของบุคลิกภาพ
บุคลิกภาพภายนอก  คือ  สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนจากภายนอกของ
แต่ละคนสามารถที่จะปรับปรุงแก้ไขได้ง่าย ใช้เวลาไม่นาน แบ่งได้เป็น  
4 หมวด คือ

         1.  รูปร่างหน้าตา
         2.  การแต่งกาย
         3.  กิริยาท่าทาง         
         4.  การพูด

บุคลิกภาพภายใน  คือ สิ่งที่อยู่ภายในจิตใจ หรืออุปนิสัยใจคอที่มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้  แก้ไขได้ยาก  เช่น
  1. ความเชื่อมั่นในตนเอง
  2. ความกระตือรือร้น
  3. ความรอบรู้
  4. ความคิดริเริ่ม
  5. ความจริงใจ
  6. ไหวพริบปฏิภาณ
  7. ความรับผิดชอบ
  8. ความจำ
  9. อารมณ์ขัน

การมองตัวเองในกระจกเงา
- การมองเห็นตัวเอง
- การยอมรับตัวเอง
- การเข้าใจในตัวเอง
- ความเชื่อถือตัวเอง
- ความต้องการเปลี่ยนตัวเอง









ในแต่ละครั้งที่เราต้องพบเจอผู้คนในองค์กรหรือนอกองค์กร การสนทนา การแสดงความคิดเห็น หรือการพูดให้ความรู้ การนำเสนองานต่างๆ นั้น ควรประกอบด้วย 3 ส่วน คือ เนื้อหาสาระของคำพูด 7% น้ำเสียง 38% กิริยาท่าทาง (บุคลิกภาพ) 55%
1.การใช้สายตา การมอง การสบสายตาขณะพูด  
2.การแต่งกาย  
3.ภาษาพูด จังหวะการพูด ระดับเสียง  
4.การเดิน / การนั่ง  
5.การแสดงออกและท่าทาง การไหว้ การรับไหว้
6.ความสะอาด 
7.สุขภาพต้องดี คนป่วยคงไม่มีใครอยากเข้าใกล้ 


สาเหตุที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพ คือความท้อถอย
บุคลิกภาพที่ไม่สร้างสรรค์และอยู่ภายในตัวตนแล้วทำให้ความเป็นคนๆ นั้นไม่สมบูรณ์ ได้แก่ความท้อถอยแม้ว่าเป็นประโยคสั้นๆ แต่ถ้าอาการนี้ถ้าเกิดขึ้นกับใครแล้ว อาการนี้จะเข้ามาทำลายความสมดุลในตัวเรา เข้ามาแทรกในความรู้สึกนึกคิดทำให้พลังและศักยภาพของเราลดน้อยลงกว่าครึ่ง ในเรื่องความท้อถอยมักเกิดขึ้นกับบุคคลที่อยู่ในช่วงอายุ 20-40 ปี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลในช่วงอายุอื่นจะไม่มีความท้อ บางท่านอาจเกิดอาการท้อเป็นช่วงๆ บางท่านโชคดีไม่รู้จักความท้อ

ความท้อถอยสามารถสังเกตได้จากอาการ 3 ลักษณะ คือ
1. ลักษณะของความท้อถอยทางด้านอารมณ์ หรือ ความอ่อนล้าทางอารมณ์ ได้แก่ความรู้สึกเบื่อหน่าย ความอ่อนล้า หมดเรี่ยวหมดแรง เกิดความเครียด ความคับข้องใจ ไม่สบอารมณ์   
2. ลักษณะของความท้อถอยที่เกิดจากสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น ได้แก่ ลักษณะของบุคคลที่ไม่สนใจในพฤติกรรมของใครๆ ไม่ยินดียินร้าย ใครจะทักก็ช่าง ใครไม่ทักก็ช่าง ไม่ใส่ใจพฤติกรรมของคนอื่น มีเจตคติและแนวคิดที่ไม่ดีต่อคนอื่น มองคนอื่นในแง่ร้าย 
3. ลักษณะของความท้อถอยที่เกิดจากการไม่ประสบความสำเร็จในการทำงานของคนบางท่านอาจจะรู้สึกเองว่าตนเองไร้ความสามารถ การทำงานล้มเหลว งานไม่สมกับที่ตั้งใจไว้ บุคคลกลุ่มนี้จะมองคุณค่าของตนเองต่ำ

สาเหตุของความท้อถอย
ด้านบุคลิกภาพ บุคลิกภาพที่พึ่งพาคนอื่น บุคลิกภาพที่ขาดความอดทน ขาดความอดกลั้น  บุคลิกภาพที่เชื่อมั่นตนเองสูง บุคลิกภาพที่มีความรับรู้ตนเองต่ำ จิตใจไม่มั่นคง ไม่มั่นใจในทุกเรื่อง 
ด้านอายุ บุคคลที่มีอายุน้อย ความท้อถอย มีมากกว่าบุคคลที่สูงอายุ ทั้งนี้เพราะความท้อถอยมีความสัมพันธ์กับประสบการณ์ วุฒิภาวะ การรู้จักชีวิตมากขึ้น 
ด้านสถานภาพการสมรส ความท้อมักเกิดกับคนโสดมากกว่าคนสมรสแล้ว ความท้อยังสัมพันธ์กับความเหงา คนโสดทั้งหญิงและชาย ถ้าเกิดอาการท้อถอย บุคคลในกลุ่มนี่จะเกิดอาการนานและค่อนข้างรุนแรง 
ด้านการปฏิบัติงานในความรับผิดชอบ เริ่มตั้งแต่สองปีแรกของการทำงานบุคคลจะเกิดความท้อได้ง่าย ยิ่งปฏิบัติงานแบบไม่มีใครช่วยใคร บุคคลยิ่งเกิดอาการท้อมากขึ้น 


แนวทางและวิธีการในการแก้ไขอาการท้อถอย
1. ทุกสิ่งทุกอย่างต้องแก้ไขที่ตัวเราเองเท่านั้น 
2. อย่าเป็นคนตั้งความหวัง ความปรารถนาที่สูงสุดเอื้อม 
3. สร้างเจคติเรื่องงานใหม่ให้ท่านคิดว่า 
“งานคือชีวิต ชีวิตคืองานบันดาลสุขทำงานให้สนุกเป็นสุขเมื่อทำงาน”
4. มองหาจุดมุ่งหมายในชีวิตใหม่ 


ครูกับการพัฒนาตน
1. การพัฒนาตนเป็นการที่บุคคลพยายามหาวิธีการที่เหมาะสมเพื่อให้ตนเองก้าวไปสู่การเป็นผู้มีบุคลิกภาพที่สมบูรณ์ ในขอบเขต
   ที่มีความพอเหมาะพอดีกับความสามารถของผู้นั้น และเหมาะสมกับค่านิยมของสังคม เพื่อการมีชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข การพัฒนาคนนับเป็นสิ่งสำคัญในอันที่จะนำไปสู่การพัฒนาอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นครู

2. ครูควรพัฒนาตนเองใน 2 ลักษณะคือ
1. การพัฒนาตนเองในด้านวิชาชีพ เพื่อการประกอบวิชาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งได้แก่
- การพัฒนาในด้านความรู้
- การพัฒนาในด้านเทคโนโลยี
- การพัฒนาในด้านคุณลักษณะกับเจตคติ
2. การพัฒนาตนในด้านการเป็นสมาชิกของสังคม เพื่อการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข 
- การรู้จักตนเองและการเข้าใจตนเอง
- การสำรวจตนเอง
- การปรับปรุงตนเองในด้าน การพัฒนาบุคลิกภาพภายนอก – ภายใน การพัฒนาลักษณะนิสัยที่ดี การพัฒนามนุษยสัมพันธ์ การพัฒนาการเรียนรู้

การพัฒนาตนเองควรประกอบด้วยขั้นตอน ดังนี้
1. พยายามค้นพบตนเอง ทำความรู้จักตนเอง โดยหมั่นตรวจตราพิจารณาตนเองถึงอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด ตลอดจนการกระทำของตนเอง นอกจากนี้ควรสนใจรับฟังข้อคิดเห็น หรือคำวิจารณ์ของบุคคลอื่นที่มีต่อตัวเราบ้าง ต่อจากนั้นให้หันกลับมาพิจารณาตนเองในแง่มุมเหล่านี้ 
1.1 ตัวของเราที่เป็นจริงเป็นอย่างไร
1.2 ตัวของเราที่รับรู้เป็นอย่างไร
1.3 ตัวของเราที่เราอยากจะเป็น เป็นอย่างไร

2.  เมื่อได้พิจารณาตนเองแล้ว รู้จักตนเองแล้ว เรายอมรับได้ไหมว่า สิ่งนั้นคือตัวเรา การยอมรับตนเองนั้น ควรจะยอมรับทั้งในส่วนที่เป็นจุดอ่อน และจุดเด่นไปด้วยกัน มิใช้จะยอมรับแต่จุดเด่น แล้วไม่สนใจจุดอ่อนโดยไม่ยอมรับจุดอ่อน
3.  ท้ายที่สุด คือ การหาทางพัฒนาจุดอ่อนหรือส่วนที่เราไม่พอใจที่อยู่ในตัวเรา (bed me) ให้ดีขึ้น (good me)

หลักและวิธีเสริมสร้างบุคลิกภาพ
การยืน เดิน นั่งเป็นส่วนสำคัญที่บอกถึงบุคลิกภาพของแต่ละบุคคลอิริยาบถคือการเดิน ยืน นั่ง เปิด-ปิดประตู ขึ้นลงรถ อย่างถูกต้องสวยงาม     การรู้จักทำตัวให้เข้ากับบุคคล สถานที่ และเวลา อย่างถูกต้องถือว่ามีมารยาททางสังคมที่ดี เช่น การรู้จักกราบไหว้ที่ถูกวิธี และถูกกาลเทศะ การรู้จักธรรมเนียมของชาวต่างชาติ การปฏิบัติตนในงานเลี้ยงต่างๆการไปเยี่ยมคนป่วยการมอบดอกไม้แสดงความยินดีหรือให้ผู้อาวุโส เป็นต้น     บางครั้งเราอาจจะต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจ และอาจเกิดอะไรขึ้นกับเราได้ทุกวินาทีนั้น เราต้องพร้อมเสมอที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ในลักษณะที่พร้อม คือไม่ตกใจ ดีใจ เสียใจ กลัว เกินกว่าเหตุ สามารถควบคุมท่าทางของตนเองได้เป็นอย่างดี


แนวทางในการพัฒนาบุคลิกภาพ
การรักษาสุขภาพอนามัย
 -  ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
 -  รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
-  ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เพิ่มหรือลดผิดปกติ
 -  ละเว้นการสูบบุหรี่หรือยาเสพติดให้โทษทุกชนิด
-  ไม่ดื่มสิ่งของที่มีแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีน
-  พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ วันละ 7-8 ชม.
-  รักษาอารมณ์ให้สดชื่นแจ่มใสอยู่เสมอ

การดูแลร่างกาย
-  รักษาความสะอาดในช่องปากและฟัน
-  ดูแลรักษาเส้นผมและทรงผมให้เรียบร้อยทั้งด้านความสะอาดและรูปทรง
 -  โกนหนวดเคราให้เกลี้ยงเกลา ตัดและขริบให้เรียบร้อย
-  รักษาผิวพรรณให้สะอาดสดชื่นอยู่เสมอ อย่าให้ผิวแห้งกร้าน
 -  รักษากลิ่นตัว 
-  รู้จักการแต่งหน้าแต่พองาม
 -  ดูแลเล็บมือ เล็บเท้า ให้สะอาดอยู่เสมอ
-  ปรับเปลี่ยนเสื้อผ้าและชุดชั้นในที่สวมใส่ทุกวัน
-  ควรมีการเช็คร่างกายเป็นประจำทุกปี
 -  เมื่อร่างกายมีอาการผิดปกติรีบไปปรึกษาแพทย์ 

อารมณ์ รู้จักควบคุมอารมณ์ ไม่ปล่อยอารมณ์ไปตามใจตนเอง  คนที่ควบคุมอารมณ์ตนเองได้จะได้เปรียบและจะเอาชนะเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้  ในการปฏิบัติงานเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องมีเหตุการณ์มากระทบกระเทือนอารมณ์กันอยู่เสมอ
                ฉะนั้น บุคคลใดที่ต้องการจะพัฒนาบุคลิกภาพของตนให้ดีขึ้นจะต้องเป็นคนรู้จักอดทนใจเย็นเมื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่ถูกใจเกิดขึ้น

ความเชื่อมั่นในตนเอง 
 -  ยอมรับในความสามารถของตนเอง
 -  อย่าเล็งผลเลิศในการทำงานจนเกินไป
-  อย่าถือคติว่าการทำงานสิ่งใดเมื่อทำแล้วต้องดีที่สุด
 -  อย่านำความเก่งของผู้อื่นมาทับถมตนเอง
 -  หมั่นฝึกจิตใจตนเองให้ชนะความกลัวให้ได้

การพัฒนาบุคลิกภาพด้านความรู้สึกนึกคิด
ความรู้สึกนึกคิดของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน ถ้ามีความรู้สึกนึกคิดในด้านดี
ไม่มองคนในแง่ร้ายจิตใจก็เป็นสุข ไม่มีความกังวล ดังนั้นจึงควรพัฒนาบุคลิกภาพด้านความรู้สึกนึกคิดดังนี้
 1.  มีความเชื่อมั่นในตนเองในการกระทำในสิ่งต่าง ๆ
2.  มีความซื่อสัตย์ กระทำตนให้ผู้อื่นเชื่อถือเรา แล้วความไว้วางใจจะตามมา มีเรื่องสำคัญเขาก็จะให้เราทำ
 3.  มีความสามารถที่จะทำสิ่งเหล่านั้น ให้เหมาะสมกับผู้ที่มอบหมายไว้วางใจให้เราทำ
4.  มีความกระตือรือร้น ที่อยากจะทำ เตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ
5.  มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ รู้จักปรับปรุงงานอยู่เสมอ
6.  มีความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามต้องมีความห่วงใยจะต้องทำให้เสร็จทันตามกำหนดเวลา     7.  มีความรอบรู้                    
8.  ห่วงตัวเอง เติมชีวิตให้กับตัวเอง
 9.  มีความจำแม่น                
10.   วางตัวเหมาะสมกับกาลเทศะ

การพัฒนาบุคลิกภาพด้านกายบริหารทรวดทรง
องค์ประกอบของทรวดทรง ขึ้นอยู่กับกลไกของการเคลื่อนไหวของร่างกายและโครงสร้างของร่างกายไม่ว่าหญิงหรือชายก็ชอบที่จะมีรูปร่างงามทั้งนั้น ผู้ชายก็ต้องการมีรูปร่างสมาร์ท ผู้หญิงก็ต้องการมีเอวบาง ร่างน้อย มีสุขภาพดี การมีรูปร่างงาม สุขภาพดี เกิดจากการพัฒนาตัวเราเอง เราเป็นผู้วางแผนในชีวิตของเราเอง     ทรวดทรงอาจไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต แต่ส่วนสัดและท่าทาง ทำให้คนทุกคนดูแตกต่างกันไป บุคลิกที่ไม่ดีแสดงว่าเจ้าของเรือนร่างขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง ถ้าได้เรียนรู้วิธีเสริมสร้างเสน่ห์ให้กับบุคลิกภาพของตนเองแล้ว จะไม่เพียงทำให้มีรูปร่างสง่างามเท่านั้น ยังสามารถทำให้การปฏิบัติงานเกิดความเชื่อมั่น  งานก็มีประสิทธิภาพอีกด้วย ดังนั้นจึงควรใช้เวลาในการบริหารทรวดทรงของตนเองเป็นประจำสม่ำเสมอ เพราะสุขภาพที่ดี และทรวดทรงที่งดงามอีกด้วย

การปรับปรุงบุคลิกภาพภายใน
การยอมรับความจริงเกี่ยวกับตนเอง 
การปรับปรุงในส่วนที่จะปรับปรุงได้ 
การใช้สิ่งอื่นๆ เพื่อส่งเสริมบุคลิกภาพ 
การส่งเสริมบุคลิกภาพที่ดีควรส่งเสริมคุณภาพจิตสาธารณะมากำกับ เพื่อบุคคลจะได้ลดละความเห็นแก่ตนในระดับที่พอดำรงชีวิตอยู่ได้ เสียสละ เกื้อกูลคนอื่น เป็นผู้รับในบางโอกาสและเป็นผู้ให้ในบางโอกาส มีจิตใจที่ดีงาม มีร่างกายที่สะอาดสดใสก็เท่ากับว่าบุคคลได้ส่งเสริมหรือพัฒนาบุคลิกภาพแล้วนั่นเอง

การพัฒนาบุคลิกภาพด้านการเรียนรู้
ในโลกปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นครูจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเรียนรู้และเพิ่มพูนประสบการณ์ให้ตรงกับตนเองอยู่เสมอ เช่น
1. การฟัง
2. การอ่าน 
3. การเขียน
4. การสังเกต
5. การคิด
6. การทดลอง

การประยุกต์ใช้
ได้ความรู้แน่นมาก ได้รู้จักการบริหาร และการวางตัว รู้จักการสร้างบุคลิกภาพที่ดีให้กับตนเอง

การประเมินผล
ประเมินเพื่อน
เพื่อนส่วนใหญ่มาตรงเวลา แต่งการเรียบร้อย ตั้งใจฟังครูบ้างหลับบ้าง คุยบ้าง
ประเมินตนเอง
มาเรียนตรงเวลา แต่งกายเรียบร้อย คุยบ้าง ตั้งใจฟังอาจารย์บ้าง
ประเมินอาจารย์
อาจารย์มาตรงเวลา มีการเตรียมตัวในการสอน และสอนได้อย่างชัดเจน

















วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2561

วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2561

ครั้งที่ 8
วันที่ 7 มีนาคม 2561



บรรยากาศในห้องเรียน
เริ่มจากการนำเสนอคำคมดังเช่นทุกอาทิตย์


 หากมีคนทำผิดแล้วเราไม่เห็นด้วยเราไม่ควรซ้ำเติมเพราะเขาอาจจะไม่มีทางเลือกควรที่จะให้กำลังใจมากกว่าซ้ำเติม


การเป็นผู้นำไม่ใช่อยากจะสั่งเห็นคนอื่นเป็นผู้ตามเรานำอย่างเดียวแต่เพียงแค่เราทำตัวให้เคราพนับถือไว้ใจ ผู้อื่นก็อยากตามเราด้วยความยินดี


หากเรารักในสิ่งที่เราทำจงทำไม่ใช่ฟังคนอื่น



พอนำเสนอคำคมเสร็จก็นำเสนอวิจัย

งานวิจัย
 เรื่อง การบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วม สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่

การศึกษาระดับ  ประถมศึกษา 

มหาวิทยาลัย  หาดใหญ่

ผู้วิจัย  ลดารัตน์  ศศิธร

ปีการศึกษา  2558

ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย

ประเด็นที่ 1

  กระทรวงศึกษาธิการมุ่งเน้นพัฒนาการศึกษาและสร้างโอกาสให้คนไทยมีการศึกษาตลอดชีวิต ซึ่งเป็นการให้ความสำคัญกับการศึกษาโดยกำหนดเป้าหมายการศึกษาอย่างชัดเจน ที่จะทำให้การศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาคนเพื่อให้เป็นคนที่มีคุณภาพ  มีความพร้อมทั้งทางร่างกาย จิตใจ  สติปัญญามีจิตสำนึกของความเป็นไทย  และตระหนักรู้ถึงขนบธรรมเนียม  ประเพณีไทย  และตอบสนองต่อทิศทางการพัฒนาประเทศ


ประเด็นที่  2  

  สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นหน่วยงานหนึ่งที่มีหน้าที่ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาระดับขั้นพื้นฐานให้มีมาตรฐานตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่2) พ.ศ.2545 ในมาตรา 4 ซึ่งกำหนดว่า “มาตรฐานการศึกษา” หมายถึง ข้อกำหนดเกี่ยวกับคุณลักษณะ คุณภาพที่พึงประสงค์และมาตรฐานที่ต้องการให้เกิดขึ้นในสถานศึกษาทุกแห่ง และเพื่อใช้เป็นหลักในการเทียบเคียงสำหรับการส่งเสริมและกำกับดูแล การตรวจสอบ การประเมิน และการประกันคุณภาพทางการศึกษา (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2555, น.1-4) ในปีพ.ศ.2554 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีโรงเรียนในสังกัดจำนวน 31,116 โรงเรียน จำแนกขนาดของโรงเรียนตามจำนวนนักเรียน เป็น 4 ขนาด ได้แก่ ขนาดเล็ก มีจำนวนนักเรียนตั้งแต่ 120 คนลงมา ขนาดกลาง มีจำนวนนักเรียน ตั้งแต่ 121 ถึง 600 คน ขนาดใหญ่ มีจำนวนนักเรียนตั้งแต่ 601 ถึง 1,500 และขนาดใหญ่พิเศษ มีจำนวนนักเรียนตั้งแต่ 1,501 คนขึ้นไป

ประเด็นที่  3

  จากการศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน(2554,น.1-5) พบว่าคุณภาพการจัดการศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็กส่วนมากขาดประสิทธิภาพ และมีคุณภาพค่อนข้างต่ำเมื่อเปรียบเทียบโรงเรียนขนาดกลางและใหญ่ ปัญหาด้านกานลงทุนการศึกษาพบว่าการลงทุนการศึกษากับผลตอบแทนที่โรงเรียนขนาดเล็กจะได้รับไม่คุ้มเปรียบเทียบกับโรงเรียนขนาดกลางและขนาดใหญ่ส่วนปัญหาด้านการลงทุนพบว่าการลงทุน,การศึกษากับผลตอบแทนโรงเรียนขนาดเล็กได้รับไม่คุ้มค่าเมื่อเปรียบเทียบกับโรงเรียนขนาดกลางและใหญ่ทั้งนี้เนื่องจากโรงเรียนขนาดเล็กขาดปัจจัยต่างๆมากถ้าหากโรงเรียนเหล่านี้มีความพร้อมด้านบุคลากรงบประมาณสื่อวัสดุอุปกรณ์ต่างมาส่งเสริมสนับสนุนในการบริหารจัดการโรงเรียนให้ได้ตามมาตรฐาน  หลักสูตรกำหนดการลงทุนต้องสูงมากและไม่คุ้มกับการลงทุนในด้านขวัญและกำลังใจจากบุคลากรพบว่าขวัญขวัญและกำลังใจในโรงเรียนขนาดเล็กนั้นด้อยกว่าโรงเรียนขนาดกลางพลังในการคิดร่วมทำงานร่วมกันมีน้อยขาดความพร้อมในการปฎิบัติ

ประเด็นที่  4

  สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากระบี่ ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีโรงเรียนทั้งหมด 45.78 (สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่,2557) ประสบปัญหากาจัดการเรียนการสอนเช่นเดียวกับโรงเรียนขนาดเล็กจึงได้นำนโยบายดังกล่าวมาจัดทำแผนพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็ก มีรูปแบบการจัดการเรียนการสอน 3รูปแบบ คือ 1) โรงเรียนร่วมทุกระดับชั้นมีจำนวน 21 โรง 2) โรงเรียนร่วมบางระดับชั้น มีจำนวน 6 โรง 3) โรงเรียนสอนตามปกติมีจำนวน 6 โรง พบว่าข้อมูลยังไม่ชัดเจนในการบริหารการเงิน พัสดุและทรัพย์สินและไม่ครอบคลุมผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จึงเป็นปัญหาที่ต้องเร่งดำเนินการ จากปัญหาดังกล่าวข้างต้น ทำให้ผู้วิจัยสนใจที่จะศึกษาการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยจัดการเรียนร่วม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่ตามกรอบบริหารและการจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ ศ. 2542

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

1.ด้านความรู้
ทำให้ทราบความคิดเห็นของผู้บริหารการศึกษา  ครูผู้สอนและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน  ต่อการบริหารการจัดการขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วมสังกัดสำนักงานเขตการศึกษาประถมศึกษากระบี่

-ทำให้ทราบถึงความพึงพอใจของ ผู้บริหารการศึกษา  ครูผู้สอนและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน  ผู้ปกครองและนักเรียน ต่อการบริหารการจัดการขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วมสังกัดสำนักงานเขตการศึกษาประถมศึกษากระบี่ 

2.ด้านการนำไปใช้
สามารถนำข้อมูลที่ได้เสนอแนะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้แก้ไขปัญหาหรือเป็นแนวทางประกอบการพิจารณาคุณภาพโรงเรียนที่ดำเนินงานจัดการเรียนร่วมสังกัดสำนักเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่


ตัวแปรอิสระ/ตัวแปรต้น /ตัวจัดกระทำ

ตัวแปรอิสระ คือข้อมูลของผู้ตอบแบบสอบถาม ประกอบด้วย

1.ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน

-ประสบการณ์ในการบริหารงานในสถานศึกษา

-ลักษณะของโรงเรียน

2.คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน

-ประสบการณ์ในการปฏิบัติงานในสถานศึกษา , ลักษณะของโรงเรียน

3.ผู้ปกครองนักเรียน

-ความสัมพันธ์กับนักเรียน,อายุ,เพศ,วุฒิการศึกษา,ลักษณะของโรงเรียน

4.นักเรียน

-เพศ

-ระดับชั้น

-ลักษณะของโรงเรียน

 ตัวแปรตาม

1.การบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก โดยการจัดการเรียนร่วม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่ตามภารกิจ 4 ด้าน ได้แก่

-ด้านการบริหารจัดการทั่วไป

-ด้านการบริหารงานการเงิน พัสดุ และทรัพย์สิน

-ด้านการบริหารงานบุคคล

-ด้านการบริหารงานวิชาการ


  2.ความพึงพอใจในการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา


สมมุติฐานการวิจัย
ผู้บริหารสถานศึกษา  ครูผู้สอน และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีตำแหน่ง  ประสบการณ์ในการปฏิบัติงานในสถานศึกษาและลักษณะของโรงเรียนต่างกัน  มีความคิดเห็นต่อการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วม  สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่แตกต่างกัน



วิธีดำเนินการวิจัย

ประชากร

ประชากร ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน จำนวน143 คน คณะกรรมการสถานศึกษา ครูผู้สอน จำนวน143 คน คณะกรรมการสถานศึกษาครูผู้สอน จำนวน143 คน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานไม่รวมครูและผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน126คน ผู้ปกครอง  จำนวน1,125คนและนักเรียนของโรงเรียนร่วมสังกัด 18 โรง จำนวน 405 คน รวมทั้งสิ้น 1,799 คน (สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่,2017)

  กลุ่มตัวอย่าง

จำนวน317 คน สุ่มแบ่งชั้นโดยใช้ลักษณะของโรงเรียนเป็นตัวแบ่งชั้น แล้วจึงเลือกแบบเจาะจง

  เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย

แบบสอบถามจำนวน 3 ชุด

ชุดที่ 1 แบบสอบถามผู้บริหาร สถานศึกษา ครูผู้สอนและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน

ชุดที่ 2 แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ปกครองนักเรียนต่อการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วม

ชุดที่3 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนต่อการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก โดยการจัดการเรียนร่วม


สรุปผลการวิจัย

ผู้บริหารสถานศึกษา  ครูผู้สอน  และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน  มีความคิดเห็นต่อการ

บริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก  โดยการจัดการเรียนร่วมในภาพรวมและหลายด้านอยู่ในระดับ

ปานกลาง  และเมื่อพิจารณารายข้อในด้านการบริหารจัดการทั่วไป  พบว่าผู้บริหารจัดการ

ศึกษา ครูผู้สอน  และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน  มีความคิดเห็นว่าในการบริหาร

จัดการเรียนร่วมได้มีการดำเนินงานเรื่องการเดินทางไปเรียนร่วมกับนักเรียนและ  สามารถดำเนิน

การได้ตามแนวปฎิบัติและครอบคลุมนักเรียนทุกคนอย่างสูงสุดเท่ากัน



การประยุกต์ใช้
สามารถนำเอาความรู้ที่ได้เกี่ยวกับงานวิจัยไปเป็นตัวอย่างการค้นคว้าของมูลได้

การประเมินผล
ประเมินเพื่อน
เพื่อนๆมีการเตรียมตัวมาพร้อมในการนำเสนอ

ประเมินตนเอง
มีความพร้อมและรับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมาย

ประเมินอาจารย์ 
อาจารย์มีการแนะนำและอธิบายเพิ่มเติม











วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2561

ครั้งที่ 7
วันที่ 28 กุมพาพันธ์ 2561


สัปดาห์สอบกลางภาค

วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2561

ครั้งที่ 6
วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2561




บรรยากาสในห้องเรียน

เริ่มต้นด้วยการ นำเสนอคำคมบริหาร

การที่เป็นผู้บริหาร หรือเป็นคนไม่ควรหยุดการเรียนรู้เพราะมักต้องมีแนวทาง เรื่องอะไรใหม่ๆมาให้เรียนรู้อยู่เสมอ



เพราในบางครั้งคนที่เก่งหรือขยันจะชอบหา ทางยากๆ คิดเยอะในการทำงาน


การที่พูดในกำลังใจผู้อื่นเป็นหนทางที่ดี ให้รู้ว่าเขาสามารถในด้านนี้และเก่งในเรื่องนี้ และไม่ควรไปตอกน้ำจุดอ่อนของใคร


พอนำเสนอคำคมผู้บริหารเสร็จแล้วก็นำเสนอคุณสมบัติชื่อจากอัษตรต่อจากครั้งที่แล้ว



















พอเพื่อนๆนำเสนอเสร็จก็เริ่มเข้าสู่เนื้อหาของบทเรียน

เรื่อง โครงสร้างขององค์กรและการจัดระบบบริหารสถานศึกษาปฐมวัย



การบริหารสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย มีลักษณะการบริหารเฉพาะตัว โดยที่ต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้

       1. นโยบาย และยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศของรัฐบาล
2. แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ
3. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
4. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
5. หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
6. ปรัชญา นโยบายและวัตถุประสงค์ของสถานศึกษา
7. ความต้องการของชุมชน

การจัดประเภท และรูปแบบสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยในประเทศไทย

1. การจัดแบ่งตามโครงสร้างการบริหารตามขนาด แบ่งเป็น 3 ขนาด คือ
1) โครงสร้างบริหารสถานศึกษาปฐมวัยขนาดเล็ก
2) โครงสร้างบริหารสถานศึกษาปฐมวัยขนาดกลาง
3) โครงสร้างบริหารสถานศึกษาปฐมวัยขนาดใหญ่


การจัดประเภท และรูปแบบสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยในประเทศไทย







2. การแบ่งตามรูปแบบตามพระราชบัญญัติการศึกษาชาติ
(พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2 )พ.ศ. 2545 กล่าวไว้ใน มาตรา 15กำหนดการจัดการศึกษา มี 3 รูปแบบ คือ)
1.รูปแบบในระบบโรงเรียน
2.รูปแบบนอกระบบโรงเรียน
3.รูปแบบตามอัธยาศัย

3. รูปแบบการให้บริการแบบใหม่
คือ การรวมเด็กที่ผิดปกติและเด็กปกติไว้ด้วยกัน โดยเรียกแบบนี้ว่า “Normalization”



หลักในการบริหารงานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย

1. การบริหารงานวิชาการ
เป็นการบริหารกิจกรรมทุกชนิดในโรงเรียน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปรับปรุงพัฒนาการสอนผู้เรียนให้ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพที่สุด

2. การบริหารงานบุคคลในสถานศึกษาปฐมวัย
คือ การปฏิบัติการใช้คนให้ทำงาน อย่างมีประสิทธิภาพโดยมีขบวนการต่าง ๆ

3. การบริหารงานธุรการและการเงินในสถานศึกษาปฐมวัย
- งานธุรการในสถานศึกษา
- งานการเงินในสถานศึกษาปฐมวัย
- งานสารบรรณในสถานศึกษาปฐมวัย
- งานทะเบียนและรายงาน
- งานรักษาความปลอดภัย
- งานการเงินและพัสดุ
- งานพัสดุ

4. การบริหารงานกิจการนักเรียนในสถานศึกษาปฐมวัย  
คือ การดำเนินงาน เพื่อสนับสนุนการจัดกิจกรรมในโรงเรียนโดยนักเรียนสมัครใจร่วมกิจกรรมเพื่อพัฒนาตนเอง

5. การบริหารสภาพแวดล้อมในสถานศึกษาปฐมวัย
           - การบริหารสภาพแวดล้อมทางกายภาพ
           - การบริหารสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการจัดกิจกรรมและประสบการณ์

การบริหารสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยในยุคปฏิรูป

ความหมาย การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน
(School Based Management)

คือ การบริหารโดยกระจายอำนาจทางการศึกษาไปยังสถานศึกษาโดยตรงให้มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบและความคล่องตัวในการบริหารจัดการมากที่สุด
• หลักการกระจายอำนาจ (Decentralization)
• หลักการมีส่วนร่วม (Participation or Collaboration Involvement)
• หลักการคืนอำนาจจัดการศึกษาให้ประชาชน
( Return Power to People)
• หลักการบริหารตนเอง (Self - managing)
• หลักการตรวจสอบและถ่วงดุล (Check and Balance)

รูปแบบโรงเรียนที่ใช้การบริหารแบบโรงเรียนเป็นฐาน

ผู้บริหารโรงเรียนเป็นหลัก
(Administrative Control School Council )
• บริหารโดยครูเป็นหลัก
(Professional Control Council)
• การบริหารจัดการโดยชุมชนมีบทบาท
(Community Control School Council)
• ครูและชุมชนมีบทบาทหลัก
(Professional Community Control School Council)

       การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School-Based Management)
เป็นการถ่ายโอนอำนาจจากหน่วยงานไปให้แก่โรงเรียนได้บริหารแบบ
เบ็ดเสร็จที่โรงเรียนโดยมอบอำนาจการบริหารและจัดการศึกษาให้แก่
คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานซึ่งประกอบด้วยผู้ปกครอง     


องค์กรแห่งการเรียนรู้

ศาสตร์ทั้ง 5 ขององค์กรแห่งการเรียนรู้(ปีเตอร์ เอ็ม. เซงเก (Peter M. Senge) )

การใฝ่ใจพัฒนาตน (Personal Mastery)
• รูปแบบของความคิด (Mental Models)
• วิสัยทัศน์ร่วม (Shared Vision)
• การเรียนรู้เป็นทีม (Team Learning)
• การคิดเชิงระบบ (System Thinking)



การบริหารแบบมีส่วนร่วม

สาระสำคัญของการบริหารแบบมีส่วนร่วม
การมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น
• การมีส่วนร่วมช่วยให้เกิดการยอมรับในเป้าหมาย
• การมีส่วนร่วมช่วยให้เกิดความสำนึกในหน้าที่ความ
รับผิดชอบ

ผลดีของการบริหารแบบมีส่วนร่วม
สร้างสรรค์ให้มีการระดมกำลังจากบุคคลต่าง ๆ
• สร้างบรรยากาศและพัฒนาประชาธิปไตยในการทำงาน
• ช่วยให้ลดความขัดแย้งระหว่างผู้บริหารกับผู้ปฏิบัติงาน
• การบริหารแบบมีส่วนร่วม
• ผลงานที่เกิดขึ้น
• สร้างความสมดุลระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายปฏิบัติ

ข้อจำกัดของการบริหารแบบมีส่วนร่วม
การแสดงความคิดเห็นเกิดข้อขัดแย้งกับฝ่ายบริหาร
• ก่อให้เกิดกลุ่มอิทธิพล
• ผู้บริหารกลัวสูญเสียอำนาจ
• การบริหารงานไม่สามารถใช้กับงานที่เร่งด่วนได้
• ใช้งบประมาณมาก
• ความคิดเห็นจากบุคคลภายนอกไม่ได้รับการยอมรับเท่าที่ควร
• การไม่เข้าใจหน้าที่มักจะทำให้เกิดการก้าวก่ายหน้าที่ซึ่งกันและกัน



การวิเคราะห์เชิงปฏิบัติ SWOT



คือการวิเคราะห์สำรวจตรวจสอบสภาพภายในองค์กร และสภาพแวดล้อมภายนอก เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการวางแผน 
S : จุดแข็ง
W : จุดอ่อน
O : โอกาส
T : อุปสรรค

แต่สิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องไม่มองข้ามไปคือ เรากำลังจะเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ ที่อาจจะทำให้บางคนไม่พอใจจากการสำรวจ
จุดอ่อน:W-จุดแข็งSภายในองค์กร และโอกาส:
O-อุปสรรค:
Tภายนอก

        1.อะไรคือเรื่องหลักที่เราต้องเผชิญในวันนี้
2.เราจะจัดการกับเรื่องหลักนี้อย่างไร
ข้อสังเกต
บางคนใช้ SWOT เพื่อตั้งคำถามอย่างเดียว
 บางคนใช้เหตุผลของ SWOT มองข้ามปัญหาไป



เรามาเริ่มต้นด้วนการวิเคราะห์
จุดแข็งS : Strengths

ตัวอย่าง
งานที่เราถนัด ทำแล้วมีความสุข
งานที่โดดเด่นที่ชุมชนชื่นชอบ
อะไรที่ชุมชนมีความต้องการให้เราทำซ้ำอีก
ทรัพยากร และเครื่องมือที่เรามีความพร้อม

จุดอ่อน : Weaknesses

ตัวอย่าง
งานที่เราไม่สบายใจที่จะทำ
ความต้องการที่จะรับความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงาน หรือทักษะบางอย่างที่เรายังไม่มั่นใจ
ขาดทรัพยากรในการทำงานให้บรรลุเป้าหมาย

หมายเหตุ  บางทีจุดอ่อนของเรามีความเชื่อมโยงกับจุดแข็ง
ยกตัวอย่าง....
นายแดงดี สีใส อ่านหนังสือไม่ออก แต่มีความชำนาญในการสาธิตการกรีดยางพารา

ข้อมูลสภาพแวดล้อมในตำบลของเรา



อุปสรรค : Threats

ตัวอย่าง
ใครคือคู่แข่งขันที่ทำได้ดีกว่าเรา
ถ้าสภาพแวดล้อมเปลี่ยนจะทำให้แผนโครงการเรามีปัญหา
ความขัดข้องที่จะเกิดจากเราเอง


โอกาส : Opportunities

ตัวอย่าง
โอกาสที่กำลังจะเกิดขึ้น ที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จ
มีเครื่องมือใหม่ที่ได้รับการสนับสนุน
มีช่องว่างทางการตลาดที่เรามองเห็น
เครือข่ายมีศักยภาพทำให้งานสำเร็จง่ายขึ้น

หมายเหตุ

โอกาสควรที่จะพิจารณาทั้งในระดับมหภาค(ระดับประเทศ ระหว่างประเทศ) และระดับจุลภาค(ระดับครัวเรียน/ระดับหมู่บ้าน/ระดับตำบล)

หลังจากนั้นอาจารย์ให้ทำใบงานปรเมินตนเอง กับเพื่อนที่บ้าน


การประยุกต์ใช้
ได้เรียนรู้เกี่ยวกับ SWOT ว่าคืออะไร แต่ละตัวมีความหมายอย่างไร และสามารถนำเอาปปฏิบัติได้อย่างไร การวิเคราะห์อย่างไร และ องค์กร

การประเมินผล
ประเมินเพื่อน
เพื่อนเข้าเรียนตรงเวลา แต่งการเรียบร้อยมีความพร้อมในการนำเสนอ และตั้งใจเรียน
ประเมินตนเอง
มาตรงเวลา แต่งกายเรียบร้อบ ตั้งใจฟังที่ครูสอน และรับผิดชอบน่าที่ของตนเอง
ประเมินอาจารย์
อาจารย์มรการเตรียมสื่อการสอนมาพร้อม มีเนื้อหาที่เเน่น และชัดเจน